จากกรณีที่ ส.ต.อวีระพงษ์ บัวเย็น อายุ 34 ปี เจ้าหน้าหน้าที่สิบเวร สภ.พระยืน จ.ขอนแก่น ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยิงนายจอ ชอ อ่อง ( Kyaw Swar Aong ) อายุ 29 ปี สัญชาติเมียนมาร์ โดย กระสุนเข้าที่บริเวณตาด้านซ้ายทะลุท้ายทอยด้านขวา ขณะที่กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ ในอาคารศัลยกรรมระบบปัสสาวะ ชั้น 5 อาคาร 6 เตียง 26 รพ.ขอนแก่น ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปอย่างต่อเนืองนั้น
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 8 มิ.ย.2567 พ.ต.อ.ยศวัจน์ แก้วสืบธัญนิจ ผกก. สภ.เมืองขอนแก่น เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ต้องหาถึงสภ.เมืองขอนแก่น ได้ทำการตรวจปัสสาวะของผู้ต้องหาเพื่อหาสารเสพติดในร่างกาย ปรากฏว่าเป็นสีม่วง เท่ากับว่าผู้ต้องหามีการเสพยาเสพติด แต่เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ต้องหา จะได้มีการส่งตัวไปที่รพ.ขอนแก่น ให้แพทย์ทำการตรวจซ้ำว่า ปัสสาวะสีม่วงที่ตรวจพบในเบื้องต้นนั้นเป็นสารเสพติดจริงหรือไม่ รวมทั้งหากเป็นสารเสพติดที่มาจากการเสพยาบ้า ก็จะทำการสอบสวนขยายผลหาที่มาของยาเสพติดว่า ผู้ต้องหามีการติดต่อซื้อยาเสพติดจากผู้ใดมาเสพ และจะทำการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาดำเนินคดีตามกฏหมาย
” ผู้ต้องหายังพูดย้ำคำเดิมว่า ยิงจริง แต่ไม่รู้ยิงทำไม และไม่รู้จักกับคนตายมาก่อน ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่ามาจากอาการที่เกิดจากการเสพยาเสพติหรือไม่ ซึ่งจะต้องให้แพทย์ทำการตรวจร่างกายของผู้ต้องหาก่อนจึงจะสรุปได้”
ขณะที นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ผอ.รพ.ขอนแก่น กล่าวว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มที่ เพื่อคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาอ้างว่า รู้สึกเหมือนผู้ต่ยก่อกวนพ่อของตัวเองที่มารับการรักษาในอาคารเดียวกันจนตัดสินใจก่อเหตุนั้น จากการตรวจสอบพบว่าบิดาของผู้ต้องหา ได้เข้ามารับการรักษาที่อาคารศัลยกรรมระบบปัสสาวะ ชั้น 5 อาคาร 6 รพ.ขอนแก่น จริง โดยเข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.และพักรักษาตัวอยู่ที่เตียง 28 ติดกำแพงฝั่งระเบียงด้านหลัง ขณะที่หนุ่มเมียนมาร์เดินทางมารักษาตัวเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่อาคาร 5 ชั้น 5 ก่อนจะย้ายมาที่ อาคาร 6 ชั้น 5 เตียง 26 ซึ่งเป็นเตียงที่เกิดเหตุใน ซึ่งอยู่ห่างจากเตียงของพ่อมือปืนถัดมาอีก 2 เตียง
“จากข้อมูลของพยาบาลที่ดูแลในห้องที่ผู้ป่วยทั้ง 2 อยู่นั้นพบว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่างปกติ แรงงานหนุ่มเมียนมาร์จิตใจดีช่วยญาติผู้ป่วยคนอื่นๆยกของ และไม่ได้มีปากเสียงกับใครแต่อย่างใด จนกระทั่งมือปืนเข้ามาในโรงพยาบาลเแล้วขึ้นมาหาพ่อก่อน ก่อนจะลงไปซื้อน้ำดื่ม 3 ขวดที่ร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาล ในเวลา 21.13 น. และหายไปประมาณ 1 ชม. ก่อนจะปรากฎในกล้องวงจรปิดมาก่อเหตุดังกล่าวขึ้นในเวลาประมาณ 22.30 น. โดยอ้อมเข้ามาทางด้านหลังระเบียง ซึ่งหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปทันที ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น ที่ไม่ได้เกิดจากผู้ตายแต่อย่างใด”