รวบ “เจ๊พร” เจ้าแม่จำนำรถรายใหญ่ขอนแก่น พร้อมของกลางรถยนต์และ รถ จยย. 25 คัน หลังพบพฤติกรรมรับจำนำทุกอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ราคาสูงและคิดดอกเบี้ยแพง พร้อม เร่งประสานพฐ.ตรวจสอบที่มาของรถหากเป็นการโจรกรรมเอาผิดเพิ่มทันที
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 พ.ค.2565 ที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร จ.ขอนแก่น (กก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น) พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไทยพุทธา รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณัฎฐ์ โหม่งพุฒ ผกก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ศปจร.ภ.จว.ขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมนางประภร หงค์คำ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 209 ม.25 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น พร้อมของกลาง รถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวม 25 คัน แยกเป็นรถจักรยานยนต์ 18 คัน และรถยนต์ 7 คัน พร้อมสมุดบัญชีธนาคารจำนวนมาก หลังนำหมายศาล จ.ขอนแก่น ที่ 154/2565 ลงวันที 12 พ.ค. เข้าทำการตรวจค้นภายในบ้านพักดังกล่าว ก่อนทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดและควบคุมตัวผู้ต้องมาทำการสอบสวนที่ กก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น
พ.ต.อ.ไพโรจน์ ไทยพุทธา รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวว่า ภายหลังจากที่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้เข้าร้องเรียน กับ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และได้มีการประสานงานร่วม ภ.จว.ขอนแก่น ซึ่งชุดสืบสวน โดย ศปจร.ภ.จว.ขอนแก่นจึงได้ลงพื้นที่ทำการสืบสวนสอบสวนขออำนาจศาลขอหมายค้นเข้าทำการตรวจค้น ซึ่งเมื่อไปถึง พบนางประภร แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้านและดูแลสถานที่ดังกล่าว จึงขอเข้าทำการตรวจค้นพบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งหมดจอดอยู่ภายในบ้านและบริเวณรอบบ้าน ซึ่งจากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับจำนำรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากบุคคลทั่วไปโดยคิดอัตราดอกเบี้ยจากการรับจำนำแต่ละคันในอัตราร้อยละ 10 บาทต่อเดือน และมีการหักค่าจอดรถตามขนาดของรถอีกด้วย
“ผู้ต้องหารับจำนำแบบผิดกฎหมายมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 โดยมีผู้เสียหายไปใช้บริการและเมื่อส่งครบตามจำนวนผู้ต้องหากลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนรถ จึงเข้าร้องเรียนและขอความช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่ ขณะที่จากการตรวจสอบพบว่ามีทั้งรถที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร ประหนึ่งว่าเป็นการรับจำนำทั้งหมดโดยไม่ถูกต้อง จึงต้องมีการตรวจยึดมาตรวจสอบในภาพรวม “
รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า ได้มีการประสานงานร่วมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลังฐาน ในการเข้าตรวจสอบหลักฐานรถทุกคัน เพื่อพิสูจน์หาเจ้าของที่แท้จริง รวมทั้งเอกสารหลักฐานการรับจำนำต่างๆ ซึ่งหากพบว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา หรือมีการครอบครองของบุคคลที่ 3 เกิดขึ้นก็จะมีการตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหารายนี้เพิ่มขึ้นไปด้วย ดังนั้นในระยะนี้ขอให้เจ้าของรถที่แท้จริงได้นำเอกสารมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตามภายหลังการสอบปากคำแล้วเสร็จจึงตั้งข้อกล่าวหาว่าให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆอันมีลักษณะเป็นการอำพรางให้กู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด,ประกอบธุรกิจโรงรับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาตและประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะทำการควบคุมตัวผู้ต้องหาและของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป