ตามที่รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศดังกล่าวออกไปจนถึง 31 พฤษภาคม 2563 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพิ่มเติมจากที่เคยผ่อนคลายไว้แล้วเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน ภายใต้เงื่อนไขว่ายังคงให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและคำแนะนำของทางราชการต่อไปโดยเคร่งครัด และห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 23.00 น. – 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น
กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม จึงประกาศมาตรการพึงปฏิบัติ การจัดการระบบขนส่งทางราง เพื่อขอความร่วมมือผู้ให้บริการระบบขนส่งทางราง ทั้งรถไฟและรถไฟฟ้าปฏิบัติเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ดำเนินการเปิดให้บริการให้สอดคล้องตามข้อกำหนดโดยสมควรเปิดให้บริการเดินระบบรถไฟและรถไฟฟ้า ระหว่างวันภายหลังเวลา 04.00 น. โดยปิดให้บริการ ณ สถานีปลายทางในเวลา 22.30 น. โดยประมาณ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้โดยสารให้สามารถกลับถึงเคหสถานก่อนเวลา 23.00 น.
ข้อ 2 บริหารจัดการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารให้เพียงพอสอดคล้องกับปริมาณความต้องการเดินทางในแต่ละวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น ควบคู่กับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ภายในสถานีและในขบวนรถอย่างเคร่งครัด
ข้อ 3 เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาสภาพรถ สภาพทาง และอุปกรณ์ เพื่อมิให้เกิดความขัดข้องในการบริการและให้มีแผนปฏิบัติการรองรับกรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งประสานแจ้งกรมการขนส่งทางรางทันที เพื่อบูรณาการการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วทันการณ์
ข้อ 4 เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์ข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้โดยสาร และแจ้งให้ทราบ กรณีมีเหตุขัดข้องหรือสถานการณ์ฉุกเฉินอันก่อให้เกิดความล่าช้าหรือความไม่สะดวกในการใช้บริการ เพื่อประกอบการวางแผนการเดินทางและการเผื่อเวลาในการเดินทาง
ข้อ 5 เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันและเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของผู้ปฏิบัติงานภายในสถานีและขบวนรถที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้โดยสารจำนวนมาก จะต้องสวมหน้ากากอนามัยถุงมือ หรืออุปกรณ์ป้องกันตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งจัดทำทะเบียนข้อมูลผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวันและช่วงเวลา สำหรับกรณีจำเป็นต้องมีการสอบสวนโรค
ทั้งนี้ การดำเนินการให้ถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะคลี่คลายหรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง