“อนุทิน” ยอมรับกินข้าวบ้าน “ลุงป้อม”คุยเรื่องการเมืองจริง พร้อมระบุทำงานด้วยกันไม่มีอะไรขัดแย้งและหวังทำงานร่วมกันต่ออีกสมัย สำหรับการยื่นฟ้อง “ชูวิทย์ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
เมื่อเวลา 14.30น. วันที่ 16 มี.ค. 2566 ที่โรงแรมโฆษะ จ. ขอนแก่น นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการชี้แจงหลักเกณฑ์ วิธีการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการ อสม. ผ่านระบบ e-Social welfare และส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชั่น Smart อสม. โดยได้มอบนโยบายและให้กำลังใจ อสม. ที่ปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็งพร้อมทั้งแสดงความยินดีที่รัฐบาลได้ปรับขึ้นค่าป่วยการเป็นเดือนละ 2,000 บาท
นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า
ภาพทานข้าวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั้นเป็นเพราะ เราทำงานด้วยกันมา 4 ปี เดี๋ยวจะมีการเลือกตั้งที่จะมาถึง พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำหลักของรัฐบาลและตนเองก็เป็นหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล
“เราทุกคนมีความเคารพนับถือท่านจริงๆไปรับประทานอาหารบ้านท่านปีละ 4-5 ครั้งอยู่แล้ว ครั้งนี้ถือว่าใกล้ครบวาระเลยชวนกันไปขออาหารกลางวันท่านซักมื้อ ท่านก็อนุญาตให้มา การไปครั้งนี้คุยเรื่องการเมืองแน่นอนไม่ได้คุยเรื่องอื่นหรอก ท่านก็ถามเรามีความคิดเห็นอย่างไร จะทำอย่างไรต่อไปในการจะสร้างความร่วมมือกันเพื่อให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองนั้นคือวัตถุประสงค์ เราร่วมมือกันมา 4 ปีแล้ว ของพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยร่วมงานกันมาถ้าไม่มีอะไรขัดแย้งกันก็มีโอกาสสูงที่ร่วมงานกันต่อไปทำให้เป็นปึกแผ่นของรัฐบาลเพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพทำให้ภารกิจต่างๆที่ร่วมกันมา 4 ปี ถ้ายังสามารถร่วมงานกันได้อยู่ก็จะสามารถพลัดดันและสานต่อได้ในอนาคต ก็ต้องพูดอะไรเผื่อไว้ก่อน”
นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า สำหระยกรณีที่ พ.ต.ท.กิตติกานต์ หรือ สารวัตรกานต์ อายุ 51 ปี ตำแหน่งสารวัตร สังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล คลุ้มคลั่งกราดยิง เหตุเกิดภายในบ้านพักบ้านมั่นคง เขตสายไหม กรุงเทพฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ปิดล้อมกว่า 28 ชม. ก่อนจะสามารถยุติเหตุการณ์ดังกล่าวได้ โดยสารวัตรกานต์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณขา ถูกนำส่งโรงพยาบาลภูมิพล ก่อนนำตัวเข้าห้องไอซียู และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งช่วงหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ได้มีการนำอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน บินเข้าไปถ่ายภาพภายในห้องพักของสารวัตรกานต์ ทำให้ปรากฏภาพของกองบุหรี่และวัตถุสีฟ้าคล้ายบ้องกัญชา จนถูกโยงว่า ผู้ก่อเหตุมีการใช้กัญชาจนเกิดอาการทางประสาท รวมทั้งภาพต้นกัญชาที่ถูกปลูกไว้บริเวณด้านหลังห้องพักนั้น
” ยืนยันว่า คุณสมบัติของกัญชาไม่ได้ออกฤทธิ์ไปในทางนั้น หากดูในภาพก็จะเห็นว่า บุหรี่กองเกลื่อน และยังมีของมึนเมาอื่นๆ อีกเยอะแยะ อย่าเพิ่งไปโทษกัญชา สิ่งที่เห็นว่าเป็นท่อนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นบ้องกัญชาจริงหรือเปล่า ในบ้านก็เห็นว่ามีการปลูกกัญชาอยู่ต้นเดียว และไม่รู้ว่าต้นชาที่ปลูกไว้มีอายุเท่าไหร่ ต้องดูรายละเอียดผลชันสูตร เราก็จะทราบข้อเท็จจริง ถ้าดูจากการเสพของมึนเมาจากภาพ ก็อย่าไปโทษกัญชาเลย เอาเป็นว่าเราอย่าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก เรื่องของการบำบัดฟื้นฟูผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิตที่ไม่นิ่ง ก็จะต้องพยายามรักษาให้ได้มากขึ้น”
นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการที่จะให้ว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั้ง 400 เขต ฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นั้นยังไม่ทราบรายละเอียด โฆษกพรรคน่าจะแถลงอะไรบางอย่าง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิทธิของแต่ละคนคงจะออกมาเป็นมติพรรคไม่ได้ ใครเดือดร้อนรู้สึกว่าถูกกระทำ ละเมิดหรือไม่ถูกต้องเป็นสิทธิของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือเป็นมาการร่ำลาเพื่อนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เป็นการไปมาลาไหว้ และประชุมร่วมกับเขตสุขภาพทั้ง 4 เขต ครอบคลุมทั้งภาคอีสาน เพื่อสรุปผลงานที่ทำร่วมกันมาตลอด 4 ปี ว่ามีผลการดำเนินงานอะไรที่สำเร็จแล้วตามนโยบายที่มอบไว้ หรือมีอะไรที่ยังค้างคาอยู่ และสิ่งที่จะทำต่อไป
“สำหรับเงินค่าป่วยการ อสม. ที่ เพิ่มจาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท นั้น ถือว่าทุกคนมีความพึงพอใจ ซึ่งเมื่อเทียบกับภารกิจงานที่กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กับ อสม.ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะ อสม.ต้องทำหน้าที่เป็นหมอคนที่ 1 ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องเสียสละเวลาในการเข้ารับการฝึกฝน เรียนรู้ และสามารถเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยสาธารณสุข ซึ่งจะทำให้มีวิชาชีพติดตัว และอีกไม่เกิน 3 ปี เราจะมีผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยสาธารณสุข ที่เป็น อสม. อยู่ทุกตำบลของประเทศไทย ที่จะดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน”
นายอนุทิน กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากนี้ อสม.ยังทำหน้าที่เป็นตำรวจเฝ้าในเรื่องไม่ให้มีการใช้ยาเสพติดในพื้นที่หมู่บ้าน ตำบลต่างๆ ซึ่งถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่มีทั้งความเสี่ยง และภารกิจในด้านการคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลจากกระทรวงสาธารณสุข ให้มีคุณภาพชีวิต มีมาตรฐาน มีสุขภาวะที่ดี ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญ โดย อสม. 1 คน จะต้องดูแลประชาชน 50 คน ซึ่งจะทำให้ระบบสาธารณสุขมีความเข้มแข็ง มากยิ่งขึ้น